ก่อนหน้าที่เราจะเริ่มขับรถ และมองไปบนท้องถนน มีใครเกิดความความสงสัยในใจกันบ้างรึเปล่าว่า ยางรถยนต์บ้านทั่วๆไป ที่ขับขี่กันอยู่มากมาย บนท้องถนน กับยางรถยนต์ที่ถูกผลิตมาสำหรับรถแข่ง เพื่อแข่งขัน มันต่างกันอย่างไร ทั้งๆที่ อยู่บนถนนเหมือนๆกัน ทำไม มองเผินๆ อาจจะไม่รู้สึกต่างกัน แต่ในความจริงแล้วนั้น มีความต่างกันอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นงานดีไซน์ รูปลักษณ์ภายนอก รายละเอียด ในเชิงสมรรถนะ รวมถึง เส้นสายของดอกยาง ล้วนมีความหมาย และมีประสิทธิภาพที่แตกต่างกัน อย่างสิ้นเชิง วันนี้ เราจะมาไขข้อสงสัย และส่งมอบความรู้ในอีกหลากหลายหัวข้อ ในคำถามที่ว่า ยางรถแข่ง กับยางรถยนต์ทั่วไป ต่างกันอย่างไร ? หากจะตอบคำถามนี้ได้อย่างตรงประเด็น เราต้องมารู้กันก่อน ว่ายางรถแข่งที่หมายถึง นั่นคือ การแข่งขันแบบไหนกันแน่ 

 

เพราะการแข่งขันรถ มีด้วยกัน หลากหลาย ประเภท มาดูกันเลยว่า การแข่งรถนั้น มีอะไรบ้าง 

 

สำหรับมือใหม่ อาจจะสับสนกันพอสมควรครับ กับการแข่งรถในยุคปัจจุบัน ที่มีมากมายหลายประเภทแต่ก็ไม่ยากเกินไป โดยสามารถจัดจำแนกเป็นกลุ่มหลัก ๆ ได้ประมาณ 5 กลุ่มแต่จะมีอะไรบ้างนั้นไปดูกันเลย

 

การแข่งเซอร์กิต

การแข่งประเภทนี้ จะมีหลากหลายรายการแยกย่อย และเป็นที่นิยมกันทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ซึ่งนิยามของการแข่งขันแบบเซอร์กิต คือแข่งขันรถยนต์บนทางเรียบ ที่มีทั้งทางตรง และ ทางโค้ง มีจุด Pit สำหรับเปลี่ยนยาง หรือ เติมเชื้อเพลิงแข่งขันกันในสนามปิด มีจุดสตาร์ทและเส้นชัย โดยรายการแข่งขันที่น่าจะคุ้นหูมากที่สุดคือแข่งรถ F1 การแข่งรถ NASCAR รายการแข่งรถยนต์ทางเรียบ บนถนนปิดผู้เข้าแข่งขันจะต้องใช้สมาธิอย่างสูงในการขับขี่รถยนต์ รวมถึงใช้ไหวพริบ ทักษะเฉพาะตัวการเข้าโค้ง การเหยียบเบรก เร่งแซง ทำเวลาต่อรอบให้เร็วที่สุด และบริหารจัดการยาง และ น้ำมันเชื้อเพลิงอย่างคุ้มค่าที่สุด จุดเด่นของการแข่งขันแบบนี้คือ ใช้ทั้งความเร็ว และการสาดโค้ง 

 

การแข่งดริฟต์

เป็นการแข่งขันที่ไม่เน้นความแรงบนทางตรงและการไปให้ถึงเส้นชัยเป็นอันดับแรก แต่ผลแพ้ชนะจะตัดสินกันที่การเข้าโค้งอย่างสวยงาม ลูกเล่นต่าง ๆ มุมองศา ไลน์เข้าโค้ง หรือความเร็วตอนเข้าโค้งนั่นเอง ฉะนั้นหัวใจหลักของการดริฟต์ คือการเข้าโค้งโดยการให้รถเกิดอาการท้ายปัดหรือเรียกว่าโอเวอร์สเตียร์ โดยที่ผู้ขับจะต้องเลี้ยงความเร็วให้คงที่ และควบคุมไม่ให้รถหลุดออกจากโค้ง

เป็นการแข่งขันที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวสูง และยังให้ความสวยงามอีกด้วย โดยรถที่ใช้แข่งขันจะเป็นรถยนต์ขับเคลื่อนล้อหลัง เพราะว่าการถ่ายเทน้ำหนักและพละกำลังของรถประเภทนี้จะเหมาะสมที่สุดสามารถเข้าโค้งแบบดริฟต์ได้ดีที่สุด ส่วนนักแข่งจะต้องรู้จักการเข้าโค้งในไลน์ที่ถูกต้อง รู้จักควบคุมพวงมาลัย ความเร็วรถ และจัดการหน้ายาง ให้คุ้มค่าที่สุด

 

การแข่งแดร็ก

สำหรับการแข่งขันแบบนี้จะไม่มีความซับซ้อนแบบแข่งดริฟต์ แต่จะหนักไปทางลุ้นระทึกและชิวไหวชิงพริบมากกว่า ซึ่งการแข่งแบบแดร็กจะเน้นแข่งทางตรงเป็นระยะ 402.34 เมตร หรือที่เรียกกันติดปากว่าควอเตอร์ไมล์ จะมีนาฬิกาดิจิทัลเป็นตัวจับเวลาแข่งกันเป็นคู่ละ 2 คันใครไปถึงเส้นชัยข้างหน้าก่อนจะเป็นผู้ชนะ เป็นการแข่งที่นิยมมากทั้งในอเมริกา และประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก

หัวใจหลักของการแข่งแบบนี้คือการชิงจังหวะวัดไหวพริบของนักแข่ง เริ่มกันตั้งแต่การเหยียบคันเร่งออกตัว การไปจนถึง เข้าเกียร์ในจุดที่เหมาะสม เพื่อรีดพละกำลังของเครื่องยนต์ให้มากที่สุดแม้ว่าระยะทางจะดูสั้น การแข่งใช้เวลาไม่นานก็รู้ผล แต่ต้องบอกว่าบรรยากาศที่ได้มันลุ้นระทึกพอสมควรและเป็นระยะทางที่รถสามารถเร่งได้แรงพอพร้อมกับคนดูข้างสนามสามารถมองเห็นได้ชัดเจน

 

การแข่งแรลลี่

แข่งแรลลี่ จะแตกต่างจากการแข่งที่ว่ามาทั้งหมด เพราะรายการนี้จะไม่ได้แข่งบนทางเรียบ แต่จะไปลุยกันบนทางขรุขระ ทางดินเป็นหลัก จะเป็นการแข่งขันจากจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่งผ่านเส้นทางทุรกันดาร และทางสาธารณะด้วยความเร็วสูง จะเป็นการแข่งขันเก็บคะแนน นอกจากนี้นักแข่งต้องใช้ 2 คนคือคนขับ และเนวิเกเตอร์ทำหน้าที่บอกเส้นทาง

เสน่ห์ของแรลลี่มีหลายอย่างที่การแข่งบนทางเรียบให้ไม่ได้ นั่นคือเส้นทางอันสุดโหด เพราะเป็นการแข่งทางดินเต็มไปด้วยหุบเขา ทางชัน และทางโค้งอันตราย ความสามัคคีเคมีที่ตรงกันระหว่างคนขับกับเนวิเกเตอร์ ต้องเชื่อใจกันและกันสูง และการปรับแต่งรถยนต์ที่เน้นตะลุยทางดินเป็นหลัก

 

จากข้อมูลที่ได้กล่าวไป จะเห็นได้ว่าเสน่ห์ของการแข่งขันแต่ละแบบ จะมีลักษณะการใช้ยาง ที่แตกต่างกัน 

 

แล้วยางรถยนต์แบบไหน เหมาะกับการแข่งขันแบบไหน มาดูกัน

 

ยางสลิค (Slick) ยางรถแข่ง

คือ ยางที่ไม่มีโครงยาง จะเป็นการปั้นขึ้นรูปและสามารถสังเกตได้จากเวลายางติดตั้งอยู่ในรถ เราจะเห็นเหมือนยางรั่วซึม และเห็นเนื้อยางเป็นริ้วๆ เวลาที่โดนน้ำหนักกดทับและในจังหวะที่ออกตัว เนื้อยางมีความเหนียวนุ่มเป็นพิเศษ แค่เพียงใช้มือสัมผัสกับผิวยางก็จะรับรู้ได้วามันเหนียวและหนึบกว่ายาง Radial แค่เรื่องโครงสร้างและลายดอกของยางทั้งสองประเภทนี้ก็แตกต่างกันแล้ว เราไปเจาะลึกกันดีกว่าว่ามีความแตกต่างด้านใดอีกบ้าง

ทำไม ยาง SLICK มักจะนำมาใช้ในการแข่งขันรูปแบบแดร็ก เรซซิ่ง(Drag Racing) ถามว่าแล้วเพราะ การแข่งขันรูปแบบนี้มันเป็นการทำเวลาให้ได้เร็วที่สุดในระยะทาง 402 เมตร แน่นอนเลยว่าคุณจะทำเวลาให้ได้เร็วที่สุด จึงมีความจำเป็นจะต้องใส่แรงม้ามันเข้าไปเยอะๆ และเมื่อแรงม้าเยอะ คุณก็จะต้องจับมันลงพื้นแทร็ค(Track) ให้ได้ครบทุกตัว ซึ่งพอเป็นอย่างนี้จะทำยังไง ก็จะบอกให้ว่าคุณก็ต้องหายาง SLICK มาใส่มันเข้าไป เพื่อให้แรงม้าเป็นพันๆ ตัวถ่ายเทลงพื้นได้อย่างหมดจด ซึ่งนอกจากจะใช้ในการแข่งขันแดร็ก หรือควอเตอร์ไมล์แล้ว ก็ยังใช้ในการแข่งขันเซอร์กิตได้อีกด้วย

 

เนื้อยางของการแข่งขันเซอร์กิต กับการแข่งขันแดร็กจะแตกต่างกันออกไป แบ่งออกเป็น 3 แบบ

 

  1. RACING SLICK หรือยางที่ใช้ในการแข่งรถประเภทเซอร์กิต จะมีลักษณะคล้ายกับยางรถยนต์ที่ใช้กันอยู่ทั่วไปคือมีขนาดใกล้เคียงกับยางสแตนดาร์ด แก้มยางมีความเตี้ยเพราะต้องการลดอัตราการให้ตัวของยางในขณะเข้าและออกโค้งให้เกิดการดีดดิ้นของหน้ายางน้อยที่สุด และยางประเภทนี้ก็จะมีทั้งแบบหน้าเรียบคือไร้ดอกยางใดๆ ทั้งสิ้นซึ่งก็จะใช้กับสนามที่แห้ง ส่วนอีกแบบก็คือสลิคกัดดอกหรือที่มีดอกยางที่จะใช้ตอนฝนตกหรือมีน้ำอยุ่บนแทร็คนั่นเอง
  2. DRAG SICK ก็คือ “ยาง SLICK” (ยางสลิค) รูปทรงกลมโตแก้มหนาๆ มีขนาดใหญ่มหึมาจนบางไซซ์ เกินขนาดที่เราจะจับยัดลงในซุ้มล้อรถปกติได้นั้นก็คือยางที่ถูกออกแบบและผลิตขึ้นมาสำหรับการแข่งขัน DRAG กันโดยเฉพาะ เพราะนอกจากเนื้อยางจะมีความนิ่มที่เกาะกับผิวแทร็คได้ดีจนใช้งานไม่กี่ครั้งก็หมดสภาพไปแล้วนั้นตัวแก้มยางที่หนาเตอะก็ยังถูกออกแบบมาให้รองรับกับแรงบิดอันมหาศาลของเครื่องยนต์ที่พอเริ่มยกคลัช มักจะเกิดการบิดของแก้มยางที่แทบจะเป็นเกลียวจึงช่วยให้การ TAKE ตัวเป็นไปอย่างรวดเร็ว แถมยังมีน้ำหนักของยางที่เบากว่ายางเรเดียลธรรมดาๆ อีกด้วย
  3. SOFT COMPOUND หรือยางที่เรียกกันว่า กึ่งสลิค คือมีหน้าตาเหมือนกับยางรถยนต์ปกติ แต่มีความนุ่มของเนื้อยางหรือวัสดุที่ใช้มากกว่าธรรมดาแถมมีดอกยางลวดลายแปลกๆ แต่ไม่ซับซ้อน อาทิ ลายหนอน ลายหัวธนู เป็นต้น จึงทำให้สามารถใช้งานบนท้องถนนก็ได้ หรือใช้ในสนามแข่งก็ถ่ายแรงได้ดีกว่าทั่วไปนั่นเอง ส่วนการเลือกใช้นั้นนอกจากการที่จะต้องคำนึงถึงการคัดขนาด และประเภทของยางให้เหมาะสมกับตัวรถ อาทิ ขนาดของซุ้มล้อว่ามีพื้นที่ภายในเหลือให้ใช้ยางได้ขนาดใดหรือแบบใด

เมื่อทราบคร่าวๆเกี่ยวกับยางสลิค หรือยางที่นิยมใช้ในการแข่งขันแล้วนั้น ต่อมา คือมาทำความรู้จักกับยางรถบ้านกันบ้าง หรือที่เรียกว่า 

 

ยางเรเดียล (Radial) ยางเรท R

คือ ยางรถบ้านที่มีโครงสร้างยางเป็นใยเหล็กตาสานไว้กัน มีส่วนช่วยทำให้ยางมีโครงสร้างที่แข็งแรง ทนทาน ไม่ผิดรูปแม้ขณะอัดลมเพื่อเติมลมยาง โครงสร้างหลักๆ เช่น ไนลอน เรยอน และโพลีเอสเตอร์ เป็นต้น ทำให้เวลาเบรกลึกหรือเบรกหนักๆ โครงสร้างยางรถจะไม่เสียรูป หน้าสัมผัสยางยึดเกาะถนนได้อย่างเต็มที่ เวลาเข้าโค้งยางเรเดียลที่มีโครงสร้างใยเหล็กจะเข้าโค้งได้ดีกว่ายางเรเดียลที่ทำจากผ้าใบ ในเรื่องของดอกยาง ยางเรเดียลจะมีลายและดอกยางที่ต่างจากยางรถแข่ง มันถูกออกแบบมาเพื่อปกป้องยางจากเศษอิฐ หิน และจากความเสียหายอื่นๆ บนท้องถนน 

 

ความแตกต่างของ ยางรถยนต์ ทั่วไปกับยางรถแข่ง รถบ้านสามารถนำยางรถแข่งมาใช้งานประจำวันได้หรือไม่

ยางที่ถูกออกแบบมาเพื่อรถแข่งจะทำให้รถเวลาเร่งความเร็ว เบรก หรือเวลาเข้าโค้งมีการยึดเกาะถนนสูงในความเร็วที่สูง ในทางตรงกันข้าม ยางรถบ้านนั้นถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้ใช้งานได้นาน ทนทาน รองรับการขับขี่ในระยะทางไกล หรือสภาพการจราจรบนท้องถนน ตลอดไปจนถึงรองรับการขับขี่หลากหลายสไตล์ของผู้ใช้รถ

 

เมื่อเอามายางรถยนต์ทั้ง 2 แบบมาเปรียบเทียบกัน และนี่คือ 4 ความต่างของยางรถยนต์ทั่วไปและยางรถแข่ง

 

  1. เนื้อยางและโครงสร้าง ที่ต่างกัน จริงอยู่ที่ทั้งยางรถบ้านและยางรถแข่งทำมาจากยางเหมือนกัน แต่มีโครงสร้างและเนื้อยางต่างกัน ยางรถแข่งที่เป็นยางไม่มีโครงสร้างภายใน และผลิตขึ้นจากสารโพลิเมอร์พิเศษ ซึ่งจะมีความนุ่มกว่ายางรถยนต์ทั่วๆ ไป ในขณะที่ยางรถบ้านมีการเสริมโครงสร้างใยเหล็ก หรือในปัจจุบันที่มีการพัฒนาเทคโนโลยีแล้ว ยางบางรุ่นของรถบ้านถูกออกแบบและผลิตให้มีโครงสร้างภายในตัวของเนื้อยางของมันเอง
  2. อายุการใช้งาน ของยางรถยนต์คุณภาพดี ยางรถบ้านจะมีอายุการใช้งานไม่ควรเกิน 2 ปี (16,000-50,000 กิโลเมตร) หรือถ้านับตั้งแต่วันที่ผลิตยางเส้นนั้น อายุของยางไม่ควรเกิน 6 ปี เมื่อนำไปเทียบกับยางรถแข่งแล้ว ไม่ว่าจะเป็น F1 หรือการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบ ยางจะมีประสิทธิภาพดีที่สุดอยู่ที่ 120 กิโลเมตร และนี่คือความแตกต่างด้านอายุการใช้งาน
  3. ดอกยาง เป็นอีกหนึ่งความแตกต่างที่เห็นได้ชัด ยางรถแข่งหรือยางสลิค จะไม่มีดอกยาง ทั้งนี้ก็เพื่อต้องการให้หน้ายางเกาะกับพื้นถนนมากที่สุดและทำความเร็วได้มากขึ้น แต่ไม่เหมาะกับการแข่งขันช่วงหน้าฝน ซึ่งหากระหว่างแข่งขันมีฝนตก  ส่วนยางรถบ้านทั่วๆ ไปจะมีดอกยางและลายดอกยางที่ต่างกันตามแบรนด์ผู้ผลิต ยางรถบ้านถูกออกแบบมา เพื่อให้ใช้งานได้กับทุกสภาพถนน และสภาพอากาศนั่นเอง
  4. อุณหภูมิของยาง ทั้งยางรถบ้านและยางรถแข่งต่างก็ถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันการระเบิดจากอุณหภูมิที่สูงบนพื้นถนน แต่ยางรถแข่งจะถูกออกแบบมาให้ทนต่ออุณหภูมิสูงมากกว่ายางรถบ้าน เนื่องด้วย ตอนแข่งขันมีการใช้ความเร็วที่สูงมาก ทำให้ยางต้องเผชิญกับความร้อนสูงตัวยางรถเเข่งจึงสามารถรองรับอุณหภูมิสุงได้มากกว่ายางรถบ้าน

 

มาถึงคำถามที่ว่า แล้วรถที่วิ่งด้วยความเร็วบนถนนปกตินั้น สามารถใช้ยางสำหรับรถแข่งได้หรือไม่ จริงๆ แล้วถ้าหายางสลิคในขนาดที่พอดีกับรถบ้านปกติของคุณได้ ก็ไม่ได้มี กฏเกณฑ์ว่าห้ามใช้หรือผิดถ้าต้องใช้ แต่อายุการใช้งานของยางสลิคอายุสั้นมาก สิ้นเปลืองเงิน และหากเกิดฝนตก ถนนลื่น หรือเจอทางเปียกๆ ขึ้นมาล่ะก็ ทำใจไว้เลยว่ายางสลิคมันไม่เกาะถนนแน่นอน และจะนำมาซึ่งอุบัติเหตุและการบาดเจ็บ ทางที่ดี ควรเลือกใช้ยางให้เหมาะกับประเภทรถและการใช้งานจะดีกว่า

แล้ว ยางรถยนต์ที่ดีที่ดีที่สุด ในมุมมองของคุณ คืออะไร ? ยางที่ดีที่สุด อาจไม่จำเป็นต้องเป็นยางที่แพงที่สุด แต่คือ ยางรถยนต์คุณภาพดี ที่ตอบโจทย์การใช้งาน ในมาตรฐานที่สูง ยางรถยนต์ TOYO ยางรถยนต์ที่ดี มีมาตรฐาน ทั้งการผลิตที่มั่นใจได้ โครงสร้างยางแข็งแรง สมรรถนะ ตอบโจทย์ ทั้งด้านความปลอดภัย

ไม่ว่าจะยางรถแข่ง หรือยางรถบ้าน ก็มีครบ ตามความต้องการ


เคล็ดลับล่าสุด